เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาเกรงใจเรา ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นแบบว่า.. เราบอกว่า “ถ้าเขารู้อยู่แล้ว เขากรองแล้ว พอเขากรองแล้ว เขาถึงกับปฏิเสธไป แต่เพราะว่ามันเป็นความเอาเราไปขอร้องไง เราเป็นคนขอร้องเขา เขาถึงเปิดทางให้ ฉะนั้นบอกว่าต้องตัดไปเลย เพราะคนเขาเห็นกัน”

จิตใจของคนไม่เหมือนกัน พระเหมือนกันแต่บวชแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติไง คิดถึงแต่ผลวัตถุ เห็นไหม ผลประโยชน์ของโลกเขา เลยเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปไม่ได้ คิดเห็นอย่างนั้นหยาบอย่างนั้น พอหยาบอย่างนั้นไป มันถึงไม่เห็นบุญกุศลไง บุญกุศล ความเป็นไปของสัจธรรมความเป็นจริง มันจะทำความเป็นจริง ถ้าเราหลอกลวงตัวเอง เห็นไหม เราหลอกตัวเอง แล้วมันจะเป็นผลประโยชน์ไปได้อย่างไร มันเป็นผลประโยชน์ไปไม่ได้

แต่นี่ว่ามันไปหลอกลวง เรื่องของโลก มันถึงว่าเรื่องของโลกมันมีการแบบว่าลับลมคมใน ถ้าเราตามลับลมคมในไม่ทัน เราก็เสีย เราจะโดนเขาใช้เป็นเครื่องมือ ถ้าเราโดนเขาใช้เป็นเครื่องมือ เราจะเสียหายของเราขึ้นไป

แต่ถ้าลับลมคมในของโลกเขา ถ้าเราตามทันนะ แล้วเราปล่อยไว้อย่างนั้น มันเป็นเรื่องของกรรม ทำไมบางสิ่งบางอย่างมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ทำไมคนถึงว่าต้องติดสิ่งนั้น ติดสิ่งนั้นนะ สิ่งนั้นไม่ดีเลยแต่ติดสิ่งนั้น เพราะกรรมมันมีผลให้ต่อกัน มันถึงว่าพอถึงที่สุดแล้วมันปล่อยวางได้ มันถึงจะทำให้สิ่งนั้นหลุดออกไปได้ ถ้ามันปล่อยวางไม่ได้ มันก็ติดสิ่งนั้นไป ติดสิ่งนั้นไปตามประสาของเขา

นี้เป็นความว่าเป็นเรื่องของจริตนิสัย แต่มันไม่เรื่องของการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องของการเข้ามาหาความเป็นจริง ถ้าเรื่องของการเข้ามาหาความเป็นจริง มันจะพิจารณาเข้ามาแล้วมันจะปล่อยวางสิ่งนั้น เห็นโทษของมัน

นี่ไม่เห็นโทษ หนึ่งไม่เห็นโทษแล้วพยายามจะแสวงหาประโยชน์ด้วย แสวงหาประโยชน์.. ตัวเองแสวงหาผลประโยชน์จนตัวเองเน่าไง ตัวเองเน่า ตัวเองเป็นประโยชน์ไม่ได้ ถึงจะเอาคนอื่นเป็นสะพานต่อเข้าไปเพื่อจะหาผลประโยชน์ เอาแต่ผลประโยชน์นะ สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของโลกเขานะ

ถึงว่าเวลาเราทำผิดพลาดไป เขาบอกว่าเราทำผิดพลาด เราเป็นคดีอาญา ติดคุก ๕๐ ปี ๘๐ ปี ติดคุกตลอดชีวิตนะ ถ้าติดคุกตลอดชีวิต เราว่าตลอดชีวิตเราประมาณ ๘๐ ปีต้องตาย เขาบอกว่าน่าสงสารมาก แต่ความจริงของเรามันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เวลาตายไปนะ ในนรก ในสวรรค์นี่ที่ตกลงไป ๙ ล้านปีนะ ต้องชีวิตถึงว่า ๙ ล้านปีเท่ากับอายุขัยเขาอายุขัยหนึ่ง เราอายุขัยของเรานี่ ๑๐๐ ปี แต่เวลาทำความผิด อายุสัก ๒๐ ปีนี่ทำความผิด ติดคุกตลอดชีวิตอีก ๘๐ ปี เห็นไหม ติดคุก ๘๐ ปีนี่เป็นความทุกข์ยาก แต่ไม่เห็นว่าโทษไปข้างหน้า เขาไม่เชื่อเรื่องโทษไปข้างหน้าไง

โทษในปัจจุบันนี้ เราทำความผิดพลาดนี่ ถ้าโดนตัดสินจำคุก เราโดนตัดสินจำคุก ถึงประหารชีวิตก็ต้องประหารชีวิตไป แต่ประหารชีวิตไปมันเป็นประหารชีวิตไปเพื่อในเรื่องของโลกเขา เรื่องของความเป็นจริงในโลกในวัฏฏะ แต่ถ้าเรื่องของจิตมันไม่มีวันตาย มันต้องเวียนตายเวียนเกิดตามความที่ว่ามันสร้างสมบุญกุศลหรือว่าทำความอกุศลอันนั้นไว้ มันจะเป็นไปตามอกุศลของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องตกนรกต้องเป็นไปความใช้ของเขา เขาไม่เห็นโทษตรงนี้ เขาถึงกล้าทำตรงนั้น

แล้วถึงว่าทำจนตัวเองไม่มีประโยชน์ ตัวเองทำไม่ได้ ตัวเองไม่มีประโยชน์แล้วถึงอาศัยคนอื่น อาศัยคนอื่นไม่ได้อาศัยธรรมดานะ พอมาหาเรา เราเห็นกับว่าเขาพูดถึงว่าเขาส่งเสริมครูบาอาจารย์เรามาก เขาว่าอาจารย์มหาบัวนี่ดีมาก ทำคุณประโยชน์ให้โลกมาก แล้วเขาพยายามติดต่อเข้าไปแล้ว แล้วติดต่อไม่ได้ ถึงว่าเขาถึงส่งมาหาเราไง ไอ้เราเห็นว่าเขาคิดอย่างนี้

นี่หน้าฉากเป็นอย่างหนึ่ง หลังฉากเป็นอย่างหนึ่ง หน้าฉากคือว่าเห็นแต่ความถูกต้อง เห็นแต่ความดีงาม บุญกุศลนะ อันนี้หน้าฉาก โลกมีลับลมคมในตรงนี้ไง ตรงหน้าฉาก เอาหน้าฉากมาออกก่อน แต่หลังฉากนี่เราไม่รู้ทันหลังฉากเขา เพราะเราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็หาว่าเป็นประโยชน์ไปก่อน แต่พอมารู้หลังฉากแล้วเราก็ต้องพยายามไม่ให้ความร่วมมือกับเขา ไม่ให้เราเป็นเครื่องมือของเขา

ถ้าเราไม่เป็นเครื่องมือของเขา เราทำของเราได้ ไม่ต้องอาย ถ้าว่าเราทำความผิดแล้วเราจะแก้ไขไม่ได้.. ไม่เป็นอย่างนั้น เราทำความผิดพลาดไปแล้ว เราสามารถแก้ไขได้

ถึงต้องบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิบแปดมงกุฎ บอกไปเลยว่า “เป็นสิบแปดมงกุฎ” แล้วถ้าเบอร์โทรศัพท์ให้ใครไปบอก เราก็ต้องบอกโยมว่า “ให้ตัดเบอร์โทรศัพท์นั้น” บอกเราพูดเลยว่า “สิบแปดมงกุฎ เราไม่ให้ความร่วมมือ” แล้วเราปล่อยวางไป ทำให้เราปล่อยวาง เราไม่ยุ่งกับเขาเลย เราเห็นตรงนั้นปั๊บ เราเห็นแล้วเราทำได้ เพราะเราเปลี่ยนแปลงได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “สิ่งใดทำไปแล้ว แล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย”

แต่ขณะที่จะทำ เราไม่ทันเขา เขามาถึงว่าเขาเอาหน้าฉากมาหลอก มันก็เป็นอย่างนั้นไปใช่ไหม เอาหน้าฉากมาให้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งประโยชน์ เขาเป็นประโยชน์กับเรา เราก็ว่าเป็นประโยชน์เพราะเราทำความเพื่อเป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่ว่ามันไม่เป็นประโยชน์ มันลับลมคมในมานั้น รู้ทันแล้วก็ตัดทิ้งไป

นี่ให้เราแก้ไข ถ้าเราแก้ไขได้ เราพัฒนาได้ กรรมแก้ไขได้ ใจแก้ไขได้ สิ่งที่แก้ไขได้มันถึงเป็นประโยชน์ได้ ถ้าเราละวางสิ่งนั้นได้ มันก็เป็นประโยชน์กับเรามา ถ้าเราละวางสิ่งนั้นไม่ได้ เรารักษาไว้ มันก็จะเป็นโทษกับทุกๆ ฝ่าย

โรคภัยไข้เจ็บ เวลารักษาไปมันจะหายไปจากตัวเรา ถ้ามันหายจากตัวเรา เราก็สบายขึ้นมา หัวใจเหมือนกัน มันติดพันไปแล้วมันเป็นที่ว่าติดพันไม่ติดพันธรรมดานะ ติดพันไปโดยที่เราไม่รู้ด้วย เพราะเวลาเราคิดขึ้นมา ความเห็นของเราขึ้นมา เราต้องเชื่อความเห็นของเรา ความเห็นของเราต้องเป็นความถูกต้อง เห็นไหม ธรรมะถึงบอกว่า “ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา”

มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันคิดไปประสาของมัน มันผิดศีล มันผิดธรรม มันผิดไหม?

ถ้ามันผิด มันจะดัดแปลงของมันขึ้นมา ความคิดนี่เป็นความคิดของเรา เราจะไม่คิดว่าความคิดเรานี่ผิดพลาดเลย เราคิดของเรา เราต้องรักตัวเราเองมาก สิ่งที่เรารักตัวเราเอง เราจะไม่มีความผิดพลาด แต่พอศีลขึ้นมาจับ มันจะผิดพลาด

เราอยากได้ ความอยากได้นี่อทินฺนา ทานา เห็นไหม ไม่ให้ลักของเขา ของที่มีเจ้าของนี่ไม่ให้หยิบไม่ให้ต้องเลย ขนาดเรามีสัจจะขนาดนั้น ของของที่มีเจ้าของเขายึดอยู่ ตกอยู่กลางถนนก็ไม่เอา แต่ถ้าเป็นพระเรานี่นะ ของที่ว่าตกอยู่กลางถนนไม่มีเจ้าของแล้วต้องบังสุกุลเอา เห็นไหม บังสุกุลว่าของของนี้ไม่เป็นเจ้าของ เราหยิบของเราเป็นบังสุกุลมา ชักมาด้วยความบริสุทธิ์ของใจ

บิณฑบาตก็เหมือนกัน เราบิณฑบาตไปแล้วแต่มันจะตกบาตร เขาเป็นของใครของเขา นี่ความบริสุทธิ์บริสุทธิ์ตรงนี้ไง บริสุทธิ์ตรงมีความเจตนาให้ด้วยความบริสุทธิ์ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีเจตนาบริสุทธิ์ เห็นไหม อทินฺนา ทานานี่ความอยากได้ความอะไร มันผิดศีล ถ้าเราไม่ผิดศีลขึ้นมา มันจะเริ่มเข้ามา

นี่ธรรมะถึงเริ่ม มีธรรม นี่ธรรมแก้กิเลส ถ้ากิเลสในเรื่องหัวใจของคน กิเลสมันตามความคิดของเราไป มันจะหมุนไปอย่างนั้น ทำไมเขาคิดมาก? ทำไมเขาต้องการสิ่งนี้มาก? ต้องการสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาหน้าของตัว

ถ้ามีรักษาหน้า ศักดิ์ศรีของตัวขึ้นมา พยายามทำตรงนี้ขึ้นมาว่ามีศักดิ์ศรี มีศักยภาพขึ้นมา แต่ไม่คิดถึงว่าสิ่งนี้เป็นอกุศล สิ่งนี้เป็นการทุจริต ถ้าเป็นการทุจริตขึ้นมาแล้ว มันไม่เป็นบุญกุศลหรอก มันเป็นบาปอกุศล เราหลอกลวงเขาขึ้นมา มันต้องเป็นไป เห็นไหม ผิดศีลแล้วสมาธิจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ถ้าธรรมจับเข้ามา ถ้ามีธรรมในหัวใจเข้าแล้ว จะไม่ทำสิ่งที่ว่ามันเกินกำลังของตัว สิ่งที่ว่าคือว่าอำนาจวาสนาบารมีของเรามีขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สั่งสอนเทวดา สั่งสอนสัตว์โลก เป็นศาสดาของเทวดา เป็นศาสดาของอินทร์ ของพรหม ของมนุษย์ ของสัตว์ เห็นไหม สอนได้ทั้งหมดเลย

แต่ครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมา มันรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม บารมีต่างกัน “สาวกะ” สาวกะสอนไม่ได้ขนาดนั้น ก็สอนเราที่ว่าควรเชื่อควรพอใจก็สอนอย่างนั้น บารมีของคนต่างกัน มันเทียบกันไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เราสร้างบุญกุศล เราทำคุณงามความดี มันก็ต้องดูกำลังของเรา ถ้าเราทำได้แค่ไหน มันก็เป็นเท่านั้น ถ้าคนสร้างอำนาจวาสนาบารมีมา มันมาเอง มันเป็นเอง มันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

อันนี้ศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิเกิดขึ้นปั๊บ มีความสบายใจ แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นมา มันจะย้อนกลับเข้ามาดูหัวใจ นี่แก้ไขธรรมของเรา แก้ไขในหัวใจ ถ้าแก้ไขในหัวใจขึ้นมา ความผิดปกติของใจไม่มี มันจะทำสิ่งนั้นไปไม่ได้ ถ้าทำสิ่งนั้นไปไม่ได้ มันเป็นความผิดปกติของใจ ดูอย่างอาจารย์มหาบัวท่านว่า

“ท่านมีความบริสุทธิ์ของใจ ท่านทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ทำเพื่อใครเลย”

แต่ทุกคนก็เกาะก็หน่วงเหนี่ยวไป เพื่อจะหาผลประโยชน์จากท่าน คนหาผลประโยชน์จากท่านมันยังเป็นผลประโยชน์ไป แต่ท่านก็พยายามสลัดออกไป เรากันได้ขนาดนั้น

ถ้านี่เราทำได้ เราก็ทำของเรา ไม่ต้องไปคิดมากว่ามันจะเป็นอย่างไรไป ยังดีนะที่เราแก้ไขทัน เรารู้ทันปั๊บเราก็แก้ไข แก้ไขทันทีว่าจะไม่ให้สิ่งนี้มันเป็นบาดหมางไป บอกไปเลยว่า “สิ่งนี้เป็นสิบแปดมงกุฎ” บอกไปเลยว่า “เราผิดพลาดไป”

แต่ผิดพลาดไปขนาดนั้นแล้วเป็นว่าเรารู้ทันแล้ว เราลบล้างออกไป มันจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนไง ไม่ใช่เสียแล้วจะเสียไป รักษาหน้ารักษากันไปก็ไปไม่รอดหรอก สุดท้ายแล้วก็ต้องจบ ต้องจบอย่างนี้ จบด้วยโทรศัพท์บอกเลยว่า “เป็นไปไม่ได้” แล้วจบไป เอวัง